ในปีที่ผ่านมา ทาง Under Armour ได้ทำการเปิดตัวรองเท้าวิ่งแข่งขันที่มาพร้อมแผ่นคาร์บอน Velociti Elite ออกมา และในปี 2024 นี้ ก็ได้ทำการอัปเกรดและเปิดตัวไปเป็นที่เรียบร้อยกับ Velociti Elite 2.0 ก่อนที่เราจะไปรีวิวประสิทธิภาพ ในบทความนี้จะมาพรีวิว พาทุกท่านมาชมและทำความรู้จักกับรองเท้าวิ่งคู่นี้กันครับ
ถ้าไม่อยากอ่าน เชิญชมคลิปวิดีโอรีวิวกันเลย
Under Armour Velociti Elite 2.0 มีอะไรใหม่?
จากรูปร่างหน้าตาภายนอกจะเห็นได้ว่ามีการปรับพื้นชั้นกลางมาหนาขึ้น โดย Velociti Elite 2.0 นี้ได้ทำการเพิ่มปริมาณโฟม Bio Pebax ที่มีความนุ่ม ตอบสนองไวขึ้นมาจนมีความสูง 39.5 มม. / 37.5 มม. พร้อมกับแผ่นคาร์บอน Thermoset Carbon Fiber Plate ที่มีการปรับองศาใหม่ให้มีความโค้งมากขึ้นเพื่อความลื่นไหลในขณะวิ่ง
ปิดท้ายด้วย Super Critical Flow โฟมที่ปรับจูนจาก UA Flow ให้มีความนุ่มและเด้งมากขึ้น แน่นอนว่า UA Flow นอกจากจะเป็นพื้นชั้นกลางแล้ว ยังมีความหนึบที่ใช้งานเป็นพื้นชั้นนอกได้อีกด้วย
ในส่วนของอัปเปอร์ได้เปลี่ยนมาใช้งานเป็น WARP 2.0 ที่มีการปรับใช้เนื้อผ้าที่น้อยลง ทำให้มีน้ำหนักที่เบาขึ้น และบางโปร่งขึ้นมาก มาพร้อมแถบโครงสร้างที่เป็นเอกลักษณ์ของ UA WARP ที่จะช่วยมอบความกระชับรอบเท้าได้ดี ลิ้นรองเท้าบาง เน้นความเบางบาง คล่องตัวตามแบบฉบับรองเท้าวิ่งสายเรซซิ่ง, มาราธอน
ประสิทธิภาพการใช้งาน
ในการสวมใส่ อัปเปอร์รู้สึกถึงความเบาบางและโปร่งสบายเป็นอย่างมาก ให้อารมณ์ฟีลรองเท้าเรซซิ่งชัดเจน ส้นเท้าไม่มี Heel Counter ช่วยล็อคกระชับแบบรองเท้าวิ่ง Daily trainer ทั่วไป แต่ก็สามารถร้อยเชือก Runner’s loop รูสุดท้ายเพื่อให้กระชับข้อเท้าและส้นเท้าได้มากขึ้น ไม่เลื่อนหลุดในขณะวิ่ง ส่วนการระบายอากาศต้องชมเลยว่าทำได้ยอดเยี่ยมมากๆ เวลาลมพัดมารู้สึกถึงเท้าด้านในเลย
ใครที่ชอบแบบกระชับพอดีๆ เท้า สามารถเลือกใส่ตรงไซซ์ได้ ด้วยเนื้อผ้าที่บางทำให้ได้พื้นที่ภายในที่ค่อนข้างกว้าง ขยับนิ้วเท้าสบาย และรุ่นนี้เป็น Unisex จะไม่มีแบ่งชายหญิง สามารถเลือกตรงไซซ์หรือเลือกตรงความยาวเซ็นติเมตรเท่ากับรองเท้าของตัวเองได้เลย
พื้นชั้นกลางที่มาในดรอป 2 มม. หากใครที่ไม่ค่อยได้ใส่รองเท้าวิ่งดรอปต่ำ จะทำให้รู้สึกไม่ชิน และต้องปรับตัวอยู่สักพัก เพราะตัวรองเท้าจะคอยให้เราลงช่วงกลางเท้าค่อนไปทางหน้าเท้า ซึ่งในจังหวะที่ลงเท้าก็จะพบกับโฟม Bio Pebax แบบเต็มๆ ให้ความนุ่มแน่นเฟิร์ม มีการยุบตัวเล็กน้อยและมีแรงส่งคืนกลับมา และด้วยแผ่นคาร์บอนที่มีองศาโค้งก็จะช่วยผลักไปให้ไปข้างหน้าได้ง่ายและเร็วขึ้น รวมถึงวิ่งได้สมูทลื่นไหลเป็นธรรมชาติ
น้ำหนัก 263 กรัม ไซซ์ 10.5US Unisex ถือว่าเป็นน้ำหนักที่ดูไปค่นข้างหนักกับรองเท้าวิ่งสายแข่งขัน แต่ในจังหวะที่เร่งความเร็วก็ตอบสนองได้ดี และการรองรับแรงกระแทกก็ยังถือว่าให้การซัพพอร์ตที่ดีด้วย ไม่รู้สึกสะท้านในขณะวิ่ง เพราะตัวโฟม Bio Pebax ที่ให้มาหนา รวมถึงโฟมชั้นล่าง Super Critical Flow ก็มีการยุบตัวช่วยซัพพอร์ตอีกแรง แต่ใครที่ยังไม่คุ้นเคยกับรองเท้าวิ่งดรอปต่ำ ต้องระมัดระวังเรื่องกล้ามเนื้อที่ไม่ค่อยได้ใช้งาน เช่น กล้ามเนื้อน่องที่จะรู้สึกตึงกว่ารองเท้าวิ่งดรอปสูง ก็ค่อยๆ อาศัยการปรับตัวไปเรื่อยๆ พอเข้าที่แล้วจะรู้สึกสนุกกับการวิ่งด้วยรองเท้าวิ่งคู่นี้
ด้านการยึดเกาะ โฟม Super Critical Flow ถือว่าทำได้ดีตามแบบฉบับของพื้น Flow ส่วนด้านความทนทานอาจจะไม่เหมาะกับนักวิ่งที่ชอบลากเท้าเท่าไรนัก รวมถึงการวิ่ง Treadmill ที่มีการเสียดสีสูงกว่าวิ่งบนถนนก็ไม่เหมาะเท่าไร แต่ถ้าเป็นการแตะพื้นแล้วยกเท้า ไม่ได้แช่เท้าจะถึงว่าเหมาะมาก
สรุป Under Armour Velociti Elite 2.0 ดีไหม? เหมาะกับใคร?
โดยรวมถือว่าเป็นรองเท้าวิ่งที่ออกแบบมาสำหรับสายแข่งขัน ทำความเร็วระยะมาราธอน ด้วยโฟม Bio Pebax ที่มีความหนามากขึ้น ตอบสนองไว และรองรับแรงกระแทกได้ดี พร้อมกับการปรับองศาของแผ่นคาร์บอนที่ช่วยให้วิ่งได้อย่างสมูทลื่นไหล อัปเปอร์ WARP 2.0 ที่โปร่งและเบา แต่ก็ยังมอบความกระชับได้ดี ใครที่กำลังมองหารองเท้าวิ่งสายแข่งขันและยังเป็นแฟน UA ด้วย คู่นี้ยิ่งเหมาะเลย และตอนนี้ก็มีวางจำหน่ายที่หน้าร้านแล้ว ราคา 6,990 บาท สามารถไปหาลองกันได้ที่ร้าน Under Armour สาขา Siam Center, Centralworld, Central Phuket รวมถึงวางจำหน่ายผ่านช่องทางออนไลน์ https://invol.co/clkz0wx
ข้อมูลรองเท้า
- อัปเปอร์ผ้าตาข่าย UA WARP 2.0
- พื้นชั้นกลาง 2 เลเยอร์ ชั้นบน Bio Pebax และชั้นล่าง Super Critical Flow พร้อมใช้งานเป็นพื้นชั้นนอก
- แผ่นคาร์บอน
- ดรอป 2 มม. 39.5 มม./37.5 มม.
- น้ำหนัก 263 มม. ไซซ์ 10.5US