Nike Vaporfly 3 รองเท้าวิ่งที่ออกแบบมาสำหรับสวมใส่แข่งขันตั้งแต่ระยะ 10K จนไปถึงระยะมาราธอนรุ่นใหม่ล่าสุด สำหรับรุ่นนี้ได้มีการปรับโฉมแบบใหม่หมด และคู่สี “Hyper Pink” ที่สวยงามและโดดเด่น สำหรับรองเท้าวิ่งรุ่นนี้จะเป็นอย่างไร มาติดตามรีวิวกัน
พื้นชั้นกลาง ZoomX ที่ออกแบบใหม่
ใน Vaporfly 3 หรือชื่อเดิม Vaporfly NEXT% 3 นั้นได้มีการปรับพื้นชั้นกลาง ZoomX ใหม่ ซึ่งยังคงรูปแบบเป็นโฟม 2 ชั้นมาประกบกัน แต่มีการเจาะและคว้านเนื้อโฟมตรงด้านข้างเท้าด้านนอกออก และใต้ฝ่าเท้าด้วย ทำให้มองเห็น Flyplate แผ่นคาร์บอนไฟเบอร์ตรงจุดที่คว้านเนื้อโฟมออก
นอกจากนี้ยังมีการดีไซน์ลวดลายพื้นชั้นกลางใหม่ ส้นเท้ายื่นออกแต่ไม่ได้เป็นปลายแหลมเหมือนรุ่นก่อนหน้าแล้ว ทั้งนี้ยังมีการปรับความโค้งบริเวณปลายเท้าใหม่ ไม่ได้ลาดเอียงเทไปข้างหน้าแบบรุ่นก่อนหน้าแล้ว ทำให้การวิ่งมีความสมูทลื่นไหลมากขึ้น
พื้นยางชั้นนอกลวดลายใหม่
นอกจากพื้นชั้นกลางลายใหม่แล้ว ยังมีการปรับพื้นชั้นนอกใหม่อีกด้วย โดยยังคงมาในรูปแบบเดิม บริเวณปลายเท้าจะมีพื้นที่ของพื้นชั้นนอกมากที่สุด เพราะเน้นการลงปลายเท้าเพื่อการยึดเกาะต่างๆ ในรุ่นนี้มาพร้อมกับลายวาฟเฟิล ซึ่งมีการเจาะรูที่พื้นชั้นนอกออก ถือเป็นการปรับเพื่อลดน้ำหนักของรองเท้าวิ่งลงได้ และบริเวณส้นเท้ายังคงมาพร้อมกับพื้นชั้นนอกแผ่นยางเล็กๆ สองแผ่น แต่รุ่นนี้มาในลวดลายที่ล้อไปกับพื้นชั้นกลาง และยังเขียนน้ำหนักของโฟม ZoomX หนัก 69.1 กรัม, พื้นยางชั้นนอก 24.1 กรัม และแผ่นคาร์บอน Flyplate 19.9 กรัมไว้อีกด้วย
อัปเปอร์ผ้าถัก Flyknit สุดโปร่ง
Vaporfly NEXT% รุ่นแรกได้ใช้อัปเปอร์ Vaporweave และเรียกได้ว่าเป็นรองเท้าที่ทำให้แบรนด์อื่นๆ หันมาใช้วัสดุเดียวกันเป็นอย่างมาก โดย Vaporweave จะมีจุดเด่นที่ไม่อมน้ำและแห้งเร็ว แต่จะบีบรัดค่อนข้างมาก ซึ่งใน Vaporfly NEXT% 2 ได้เปลี่ยนมาใช้ผ้าตาข่าย Engineered mesh ที่มีความโปร่งมากขึ้น และมาในรุ่นนี้ก็ได้มีการปรับมาใช้ผ้าถัก Flyknit ที่มาพร้อมกับรูระบายอากาศให้เห็นกันแบบชัดเจนมากๆ ทั้งนี้ยังมีการถักด้ายเป็นแนวตั้งขึ้นมาแทนที่แถบ Stripe ปลายเท้าเพื่อให้มีความแข็งแรงล็อคเท้าได้ดี และน่าจะช่วยลดปัญหากาวหลุดบ่อยๆ ในรุ่นก่อนหน้าอีกด้วย
บริเวณส้นเท้ายังคงมาพร้อมกับ Heel counter ที่บางแต่ก็แข็งแรง ด้านในบุหมอนฟองน้ำไว้สำหรับช่วยล็อคส้นเท้า ส่วนลิ้นรองเท้าก็ยังคงมาในดีไซน์บางเฉียบ ปลายแฉกรับเข้ากับหน้าแข้งแบบเดิม พร้อมเขียนคำว่า Nike Vaporfly 3 เอาไว้ ส่วนแนวเชือกก็ยังคงเป็นดีไซน์แนวทะแยงคาดหลบหลบหลังเท้า ป้องกันเวลามัดเชือกแน่นเกินไปทำจะให้เลือดไปเลี้ยงเท้าไม่ดี และเชือกรองเท้าก็ยังคงแบบรุ่นก่อนหน้า ที่มีปุ่มตามแนวเชือกตลอดทั้งเส้นมาใช้งาน เชือกแบบนี้ก็จะไม่หลุดง่าย ไม่ต้องคอยพะวงมามัดเชือกระหว่างทางบ่อยๆ
สิ่งที่น่าสังเกตุมากที่สุดก็คือหน้าผ้าถัก Flyknit ใน Vaporfly 3 รุ่นนี้ หน้าผ้ามีความแข็งแรง มาเป็นรูปทรงและไม่ห้อยตัวกดลงหลังเท้า ต่างจากผ้าตาข่าย Engineered mesh ในรุ่นก่อนหน้า ใส่สบายขึ้นกว่าเดิม
Vaporfly 3 มาในดรอป 8 มม. เท่าเดิม แต่พื้นหนาขึ้น ซึ่งถือว่าทำน้ำหนักรองเท้าได้เบาขึ้นกว่าเดิม โดยชั่งได้ 203 กรัม ไซซ์ 10US ผู้ชาย ส่วน Vaporfly NEXT% 2 จะหนัก 208 กรัม ในไซซ์เดียวกัน
ความรู้สึกและประสิทธิภาพในการสวมใส่
ในการสวมใส่ต้องบอกเลยว่าอัปเปอร์ของรุ่นนี้สวมใส่ได้สบายกว่ารุ่นแรกเป็นอย่างมาก สำหรับการเลือกไซซ์ ยังคงเลือกไซซ์เดิมจากรุ่นก่อนหน้า โดยความยาวไม่ต่างกันมาก แต่จะรู้สึกสบายช่วงหลังเท้ามากกว่า เพราะมีการปรับให้สูงขึ้น ไม่รู้สึกถึงการกดของหน้าผ้า และอุ้งเท้าก็ไม่ได้บีบรัดมาก
โดยผ้าถัก Flyknit ที่มีรูระบายอากาศขนาดใหญ่นี้ ก็มีการระบายอากาศได้ดี รับรู้ถึงลมที่พัดเข้ามาได้แบบชัดเจน ไม่อับชื้นอย่างแน่นอน และลิ้นรองเท้าที่มีดีไซน์แฉกก็เข้ากับบริเวณหน้าแข้งได้ดี บางเบา ไม่อึดอัด ส่วนส้นเท้าก็ล็อคกระชับได้ดีเลย ถ้าใครที่อยากได้ความกระชับบริเวณข้อเท้าเพิ่มเติมก็ร้อยเชือกที่ Runner’s loop ได้ ส่วนเชือกแบบหยักที่ให้มาก็ไม่หลุดง่ายแล้ว มัดทบเดียวแล้วเอาอยู่
ในส่วนของพื้นชั้นกลางที่ปรับมาใหม่ ก็ให้ความรู้สึกว่าไม่ได้เอียงเทไปข้างหน้าแล้ว โดยปลายเท้าที่มีองศาความโค้งมากขึ้นทำให้รู้สึกถึงความไหลไปตามทรงของรองเท้ามากขึ้น ส่วนโฟม ZoomX ก็มอบความนุ่มเด้งได้ดี และแผ่นคาร์บอนไฟเบอร์แบบเต็มความยาวเท้าก็ช่วยเสริมแรงคืนได้ดีตามเคย รวมถึงทรานซิชั่นรอบขาต่างๆ ถือว่าทำได้อย่างสมูทลื่นไหล และการที่พื้นชั้นกลางที่ออกแบบมาใหม่และมีความหนาขึ้นนั้นมอบความมั่นคงมากกว่ารุ่นก่อนอีกเล็กน้อย เข้าโค้งได้ดีขึ้น
เมื่อออกแรงกดเพื่อทำความเร็ว ความเด้งก็ชัดเจนมากขึ้น สามารถเร่งทำความเร็วได้ดี ตัวรองเท้าก็ช่วยให้เราวิ่งได้เร็วขึ้นโดยที่ออกแรงเท่าเดิมได้ ถือเป็นรองเท้าวิ่งที่เหมาะสำหรับวันแข่งขันที่จะช่วยให้เราออกแรงน้อยลงกว่ารองเท้าวิ่งสำหรับใส่ซ้อมรุ่นอื่นๆ
ในด้านการยึดเกาะก็ถือว่าทำออกมาได้ดี ซึ่งแน่นอนว่าการออกแบบก็เน้นให้ลงช่วงหน้าเท้าเป็นหลัก ซึ่งใครที่ลงส้นเท้าก็อาจจะต้องระวังเนื้อโฟมช่วงส้นเท้าที่จะสึกไปไวกว่าส่วนอื่นๆ เพราะพื้นยางบริเวณส้นเท้าก็ค่อนข้างราบเรียบไปกับเนื้อโฟม
สรุป Nike Vaporfly 3 ดีไหม? เหมาะกับใคร?
ถือเป็นการปรับปรุงที่ดีขึ้น ถึงแม้อาจจะไม่ให้ความรู้สึกแตกต่างจากรุ่นก่อนหน้ามากนัก แต่ก็ถือว่ามีการเปลี่ยนแปลงที่ใครหลายๆ คนสามารถสวมใส่ได้ง่าย โดยเฉพาะอัปเปอร์ที่สวมได้สบายขึ้น และพื้นชั้นกลางที่มีการปรับจูนให้มีความมั่นคงขึ้นกว่าเดิม ใครที่กำลังมองหารองเท้าวิ่งที่น้ำหนักเบาและทำความเร็วในวันแข่งขัน Nike Vaporfly 3 ก็ถือเป็นรองเท้าวิ่งที่ตอบโจทย์และเหมาะสมทุกสิ่ง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องน้ำหนักเบา ดรอปที่ไม่ต้องปรับตัวอะไรมาก มีแผ่นคาร์บอนคอยช่วยเสริมแรงส่งคืนในขณะวิ่ง ทำให้ทำความเร็วได้ดีกว่าเดิม ส่วนตัวยังคงมองว่าถ้ากำลังมองหารองเท้าวิ่งที่มีแผ่นคาร์บอนสักรุ่น Vaporfly ก็ยังคงเป็นตัวเลือกที่เข้ามาอยู่ในลิสต์ตลอด
ส่วนเรื่องไซซ์ ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ไปลองที่หน้าร้านก่อน ตอนนี้วางจำหน่ายแล้วในราคา 7,800 บาท ที่ Iam247 ที่ Nike Bangkok Siam Center, Nike Centralworld, Nike Iconsiam, Nike Central Ladprao, Nike Central Pinklao, Nike Central Westgate และ Nike Central Phuket Floresta หรือเว็บไซต์ไนกี้ ประเทศไทย https://invol.co/clikylt
ข้อมูลรองเท้า
- อัปเปอร์ผ้าถัก Flyknit
- พื้นชั้นกลาง ZoomX
- พื้นชั้นนอกยางลายวาฟเฟิล
- ดรอป 8 มม.
- น้ำหนัก 203 กรัม ในไซซ์ 10US
- ราคา 7,800 บาท