ทำความรู้จักกับเทคโนโลยีในรองเท้าวิ่ง HOKA ในปี 2023

เชื่อได้ว่านักวิ่งหลายๆ ท่าน น่าจะรู้จักกับแบรนด์ HOKA (โฮก้า) กันไม่น้อย เพราะในช่วงหลังมานี้ ถือว่าเป็นแบรนด์รองเท้าวิ่งที่มาแรงและได้รับความนิยมกันมาก โดยเฉพาะในรองเท้าวิ่งเทรลที่เรียกได้ว่าแทบจะเป็นส่วนใหญ่เลยทีเดียว ส่วนรองเท้าถนนก็ปะปนกันไป ในบทความนี้เราจะพาทุกคนมาทำความรู้จักกับเทคโนโลยีของแบรนด์นี้ในปี 2023 มากขึ้น

จุดเริ่มต้นของ HOKA

เดิมทีแบรนด์นี้มีชื่อว่า HOKA ONE ONE ที่อ่านว่า โฮก้า โอเน่ โอเน่ ไม่ได้อ่านว่า โฮก้า วัน วัน แต่อย่างใด โดย โฮก้า โอเน่ โอเน่ เป็นภาษาเมารี ที่แปลว่า “บินอยู่เหนือพื้นดิน” จึงมาพร้อมกับสัญลักษณ์รูปนก และสโลแกน “Time To Fly” ซึ่งในปี 2022 ได้เปลี่ยนมาใช้คำว่า “Fly Human Fly” เพื่อให้เข้าถึงเหล่านักวิ่งได้มากขึ้น

HOKA ก่อตั้งในปี ค.ศ. 2009 โดย Nicolas Mermoud และ Jean-Luc Diard ชาวฝรั่งเศส อดีตพนักงานและหัวหน้าฝ่ายออกแบบผลิภัณฑ์แบรนด์ Salomon ที่ต้องการรองเท้าที่สามารถรองเท้าที่เหมาะกับการวิ่งแข่งในสนามที่เทือกเขาแอลป์ (Alps), เทือกเขาพิเรนีส (Pyrenees), และเทือกเขาโดโลไมท์ (Dolomites) ซึ่งการดีไซน์คอนเซ็ปท์ได้มาจากเทคโนโลยีโอเวอร์ไซซ์ของสกี, แร็คเก็ตเทนนิส และล้อจักรยานเสือภูเขาที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติ โดย Mermoud เชื่อว่าสามารถนำมาปรับให้เข้ากับรองเท้าวิ่งได้ รวมถึงการนำหลักฟิสิกส์อย่าง Meta-Rocker Geometry เข้ามาช่วยให้เคลื่อนที่ได้อย่างเป็นธรรมชาติและมีประสิทธิภาพ

ในช่วงแรกทั้งคู่ได้คิดค้นอุปกรณ์เสริมที่สามารถพกพาติดตัวไป และติดตั้งใช้งานในตอนดาวน์ฮิล จนไปหาบริษัทเคมีภัณฑ์ที่ประเทศจีน พัฒนาโฟม EVA อออกมา ทำให้ได้รองเท้าวิ่งรุ่น Prototype ที่พื้นชั้นกลางมีรูปร่างหนาแต่น้ำหนักเบา จึงทำให้คิดว่าไม่ต้องทำเป็นอุปกรณ์เสริมแล้ว ทำเป็นรองเท้าวิ่งไปเลยดีกว่า และด้วยความหนานุ่มแต่น้ำหนักเบานี้ ทำให้เป็นจุดเด่นของโฮก้ามาตลอด อีกทั้งในช่วงนั้นยังเป็นรองเท้าแนว Maximalist สวนทางกับแบรนด์อื่นๆ ที่ทำรองเท้าแนวพื้นบางกันเสียส่วนใหญ่

ด้วยความที่เป็นรองเท้าวิ่งพื้นหนานุ่มและน้ำหนักเบา ทำให้เกิดความน่าสนใจ และไปเข้าตาของ Johnny Halberstadt และ Mark Plaatjes เจ้าของร้านวิ่งรายใหญ่ที่มีสาขาอยู่ทั่วประเทศสหรัฐอเมริกาอย่าง Boulder Runing หลังจากที่ได้ทดลองสวมใส่แล้วจึงเกิดความสนใจที่จะนำไปขายที่ร้าน เมื่อเริ่มมีผู้คนได้ทดลองใส่รองเท้าของ Hoka One One ก็เกิดกระแสพูดกันปากต่อปาก แพร่กระจายไปในกลุ่มนักวิ่งต่างๆ จนกระตุ้นความอยากให้กับนักวิ่ง พอถึงเวลาวางขายก็หมดไปอย่างรวดเร็ว และยังมีการนำเทคโนโลยีเหล่านี้มาปรับใช้กับรองเท้าวิ่งถนนในปี 2011 อย่างรองเท้าวิ่ง Hoka Bondi B ที่มีพื้นฐานมาจาก Hoka Mafate อีกด้วย

โฟม CMEVA และโฟมใหม่ที่มีส่วนผสมของ PEBA

โฮก้าได้ใช้งานพื้นชั้นกลางโฟม EVA มาอย่างยาวนาน โดยในช่วงหลังๆ ก็ได้มีการปรับปรุงใหม่ที่ชื่อว่า Compression-Molded EVA (CMEVA) ซึ่งจะมีคุณสมบัติน้ำหนักเบา ทำให้รองเท้าวิ่งของโฮก้านั้นมีพื้นที่หนา ซัพพอร์ตดี และมีน้ำหนักที่เบา โฟม CMEVA นั้นจะถูกใช้งานในรองเท้าวิ่งหลายๆ รุ่น รวมไปถึงรองเท้ารุ่นยอดนิยมของค่ายอย่าง Bondi และ Clifton ซึ่งถือว่าเป็นรองเท้าวิ่งพื้นนุ่มที่ทำให้แฟนๆ โฮก้าต่างชื่นชอบ ซึ่งตอนนี้ทั้งสองรุ่นก็เดินทางมาถึง Hoka Bondi 8 และ Hoka Clifton 9 แล้ว

Hoka Clifton 9

ในช่วงปีที่ผ่านมา โฮก้า ได้ทดลองอะไรใหม่ๆ โดยการขึ้นรูปโฟมแบบ supercritical ที่มีการใช้แรงดัน, ความร้อน และก๊าซ โดยการขึ้นรูปวิธีนี้จะทำให้ตัวโฟมมีรูพรุนและการขยายตัวที่มากกว่าเดิม ผลที่ได้ก็คือโฟมมีน้ำหนักที่เบาขึ้นและมีการตอบสนองที่ดีมากกว่าเดิม และได้นำมาใช้งานในรองเท้าวิ่งสายฝึกซ้อมทำความเร็วอย่าง Hoka Mach 5 เพื่อให้นักวิ่งที่ชื่นชอบรองเท้าที่มีความคล่องตัวและน้ำหนักเบาได้ใช้งาน และยังใช้งานแบบเต็มๆ ในรองเท้าวิ่งแนวไฮบริดอย่าง Hoka Transport X อีกด้วย

และในปี 2023 ทางโฮก้าก็ได้นำวัสดุ Polyether Block Amide (PEBA) ที่มีคุณสมับติน้ำหนักเบา, รองรับแรงกระแทกได้ดี และดีดเด้ง (energy return) เข้ามาใช้งานกับพื้นชั้นกลางของรองเท้าวิ่งรุ่นใหม่ล่าสุดอย่าง Hoka Rocket X 2 ที่จะมอบความนุ่ม แรงส่งคืน สำหรับการทำความเร็วในวันแข่งขัน

Hoka Rocket X 2

เทคโนโลยี PROFLY

เชื่อได้ว่าหลายๆ คนน่าจะได้ยินคำว่า PROFLY มากับรองเท้าวิ่งในหลายๆ รุ่นของทางโฮก้า แต่อาจจะสับสนไปกับเรื่องพื้นชั้นกลางบ้าง แต่ความเป็นจริงแล้วเทคโนโลยีนี้ก็เกี่ยวกับพื้นชั้นกลางอยู่ โดยเทคโนโลยี PROFLY นี้จะมาพร้อมกับพื้นชั้นกลางแบบ dual-density หรือมีความหนาแน่นไม่เท่ากัน ในช่วงแรกๆ โฮก้าจะใช้พื้นชั้นกลางชุดเดียวกันแต่แบ่งความหนาแน่นช่วงหน้า-หลัง แต่ในปัจจุบัน โฮก้าได้ใช้พื้นชั้นกลาง 2 รูปแบบวางทับซ้อนกัน โดยส่วนใหญ่จะวางพื้นชั้นกลางที่มีความนุ่ม ตอบสนองได้ดีไว้ชั้นบน ส่วนชั้นล่างจะเป็นพื้นชั้นกลางที่มีความเฟิร์มมากกว่าเพื่อมอบความมั่นคง นอกจากนี้รองเท้าวิ่งรุ่นที่เน้นทำความเร็วในวันแข่งขันก็จะมีการใช้งานแผ่นคาร์บอนเข้ามาตรงกลางเท้า ซึ่งจะเห็นเทคโนโลยีนี้ในรองเท้าวิ่งถนนอย่าง Mach 5, Rocket X 2 และรองเท้าวิ่งเทรล Mafate Speed 4, Zinal และ Tecton X 2

Hoka Mach 5

พื้นทรงโค้ง Meta-Rocker

อีกเทคโนโลยีนึงที่อยู่คู่กับโฮก้ามาอย่างยาวนานก็คือ ปลายเท้ารูปทรงโค้ง Meta-Rocker ที่ทำออกมาให้มีการลงเท้าตั้งแต่ส้นเท้าและปล่อยไหลไปรูปทรงของรองเท้าไปจนถึงหน้าเท้า ช่วยให้วิ่งได้อย่างลื่นไหลและเป็นธรรมชาติ โดยส่วนใหญ่แล้วรองเท้าวิ่งของโฮก้าจะมาในรูปแบบ Early Stage Meta-Rocker ที่จะวางตำแหน่งจุดโค้งเลยใต้กระดูกฝ่าเท้า ช่วยให้การก้าวเท้ามีองศาที่เอียงมาได้ด้านหน้าเร็วขึ้น มีการเคลื่อนไหวจากส้นเท้ามาปลายเท้าได้เร็วและลื่นไหล ซึ่งมักจะเห็นได้ในรองเท้าวิ่งอย่าง Clifton, Rincon, Mach และรองเท้าวิ่งส่วนใหญ่ของโฮก้า

Hoka Rincon 3

นอกจากนี้ยังมีรูปแบบ Late-stage Meta-Rocker ที่จะวางตำแหน่งโค้งมาเกือบบริเวณนิ้วเท้า ซึ่งการวางตำแหน่งลักษณะนี้จะทำให้มีความมั่นคงมากขึ้น มักจะเห็นได้ในรองเท้ารุ่น Gaviota, Solimar รองเท้าวิ่งเทรล Speedgoat และรองเท้าปีนเขา Anacapa Breeze, Kaha

Hoka Gaviota 4
Hoka Anacapa Breeze Low

Active Foot Frame ช่วยประคองเท้าให้อยู่กับที่

ในรองเท้าวิ่งทุกๆ รุ่นของโฮก้าจะมาพร้อมกับเทคโนโลยี Active Foot Frame ที่ออกแบบมาให้พื้นชั้นกลางสูงครอบขึ้นมาเล็กน้อย เพื่อให้มีการโอบรับฝ่าเท้าเท้าและส้นเท้าให้ล็อคอยู่กับที่ ไม่หลุดออกจากพื้นของรองเท้า ให้ความรู้สึกซัพพอร์ต กระชับ และมั่นใจในณะสวมใส่ เปรียบเสมือนนั่งอยู่ในเก้าอี้รถแข่งที่มีการล็อคอย่างปลอดภัย

โดยรองเท้าวิ่งทั่วไปของโฮก้าจะเน้นไปที่บริเวณส้นเท้า (Rearfoot Active Foot Frame) เพื่อมอบความกระชับบริเวณส้นเท้า ส่วนรองเท้าวิ่งที่เน้นทำความเร็วจะมีการปรับเพิ่มขึ้นมาในช่วงกลางเท้า (Midfoot Active Foot Frame) เพื่อช่วยให้ล็อคกระชับและประคองเท้าได้มากขึ้น

J-Frame สำหรับรองเท้าวิ่งคนเท้าล้มเท้าแบน

นอกจาก Active Foot Frame ที่มากับพื้นชั้นกลางแล้ว โฮก้ายังมีเทคโนโลยี J-Frame ที่ออกแบบมาสำหรับซัพพอร์ตช่วงอุ้งเท้าในรองเท้าวิ่งสำหรับคนเท้าล้มเข้าด้านใน (Overpronation) โดยจะเป็นชิ้นส่วนพื้นชั้นกลางที่มีรูปทรงเป็นรูปตัว J ตั้งแต่อุ้งเท้าด้านในในยาวมาถึงส้นเท้า โดยชิ้นส่วนนี้จะมีความเฟิร์มมากกว่าพื้นชั้นกลางทั่วไปแต่ก็ยังคงน้ำหนักเบาอยู่ เพื่อให้เวลาลงเท้าแล้วจะช่วยประคองอุ้งเท้าไม่ให้ล้มเข้าด้านในมากเกินไป ช่วยลดอาการบาดเจ็บจากการวิ่งสำหรับคนเท้าล้มเข้าด้านในได้ ซึ่งเทคโนโลยีนี้จะมาพร้อมกับรองเท้าแนว Stability อย่าง รุ่น Arahi

Hoka Arahi 6

H-Frame ปรับปรุงเพื่อความมั่นคงมากขึ้น

ในช่วงเดือนสิงหาคม 2023 ทาง HOKA ได้ทำการเปิดตัวรองเท้าวิ่ง Gaviota 5 และรองเท้า All-Terrain อย่าง Stinson 7 โดยทั้งคู่จะเป็นรองเท้าวิ่งแนว Stability และมาพร้อมกับเทคโนโลยี H-Frame โครงสร้างโฟมรูปตัว H ที่ออกแบบมาเพื่อมอบความมั่นคงในการวิ่ง

Gaviota 5
Stinson 7

ที่มา HOKA

Exit mobile version