ทำความรู้จัก รองเท้าวิ่งตระกูล adidas ADIZERO ในปลายปี 2023 แต่ละรุ่น เหมาะกับการวิ่งแบบไหน มาดูกัน

กำลังเข้าสู่ช่วงปลายปี 2023 แล้ว ตั้งแต่ต้นปีที่ผ่านมา adidas ก็ได้ทำการเปิดตัวรองเท้าวิ่งตระกูล ADIZERO รุ่นใหม่มาหลายรุ่น และในบทความนี้เราก็จะมาสรุปและพาทุกคนมาทำความรู้จักรองเท้าวิ่งในแต่ละรุ่นของตระกูลทำความเร็วนี้

รองเท้าวิ่งตระกูล ADIZERO เป็นรองเท้าวิ่งที่จะเน้นสำหรับใส่แข่งขันและฝึกซ้อมทำความเร็ว โดย adidas adizero Adios 1 เปิดตัวขึ้นครั้งแรกในปี 2008 ใส่โดย Haile Gebrselassie ที่งานวิ่ง Berlin Marathon และคว้าแชมป์ด้วยเวลา 2.03.59 ชั่วโมง โดยเป็นนักวิ่งคนแรกที่สามารถทำเวลาได้เร็วกว่า 2 ชั่วโมง 4 นาที หลังจากนั้นทางอาดิดาสก็ได้พัฒนารองเท้าวิ่ง ADIZERO รุ่นอื่นๆ ออกมา

รองเท้าวิ่งสำหรับแข่งขัน adidas ADIZERO ในปี 2023

adidas adizero Prime X 2 Strung

adizero Prime X 2 Strung เป็นรองเท้าวิ่งที่อัดแน่นไปด้วยนวัตกรรมของอาดิดาส มาพร้อมกับโฟม Lightstrike Pro ถึง 3 ชั้น ชิ้นส่วนหลักยังคงเป็นส่วนบนและส่วนล่างที่มาแบบเต็มความยาวเท้า และใช้งานแผ่น Carbon infused plate ทั้งหมด 2 แผ่นประกบโฟม Lightstrike Pro ชิ้นตรงหน้าเท้า เพื่อเสริมการตอบสนองที่มากขึ้น อัปเปอร์ใช้นวัตกรรมล่าสุดอย่าง Strung เป็นการใช้เส้นใยทุกเส้นถูกถักทอโดยการใช้ข้อมูลที่วิเคราะห์อย่างละเอียดเพื่อให้เกิดความแม่นยำสูงสุด จนเกิดเป็นตัวรองเท้าที่ห่อหุ้มเท้าได้อย่างแนบเนียนไร้รอยต่อ มีน้ำหนักเบา แต่ก็ยังแข็งแรงพอที่จะซัพพอร์ตเท้าได้ดี มาในดรอป 6.5 มม. (ความหนาส้นรองเท้า 50 มม. ความหนาปลายรองเท้า 43.5 มม.) น้ำหนัก 295 กรัม (ไซส์ UK 8.5) เหมาะสำหรับใส่ทำความเร็ว, ใส่แข่งขันตั้งแต่ระยะ 0-42KM (โดยไม่สนใจกฏ) วางจำหน่ายที่ราคา 9,400 บาท บนเว็บไซต์ อาดิดาส ประเทศไทย >> https://invol.co/clk8vy1

อ่านรีวิวรองเท้าวิ่ง adidas adizero Prime X 2 Strung ได้ที่นี่

adidas adizero Adios Pro 3

รองเท้าวิ่งระดับท็อปที่ออกแบบมาสำหรับวันแข่งขัน ที่มาพร้อมกับพื้นชั้นกลาง Lightstrike Pro ที่มีความนุ่ม เด้ง จำนวน 2 ชั้น ซึ่งมีการเจาะ คว้าน บางส่วนออกไปเพื่อการรองรับแรงกระแทกและส่งพลังงานคืนกลับไป และใช้ EnergyRods 2.0 แบบใหม่ ที่มีการเชื่อมต่อเป็นชิ้นเดียวกันเพื่อให้เกิดความแข็งแรงมากขึ้น และช่วยเสริมแรงส่งคืนกลับมาในขนณะวิ่งได้ดีขึ้น เพื่อช่วยให้นักวิ่งสามารถวิ่งระยะไกลได้ดี ประหยัดพลังงานทั้งในระยะฮาล์ฟมาราธอนและฟูลมาราธอน ส่วนอัปเปอร์จะใช้งานผ้าตาข่ายแบบใหม่แบบใหม่ที่มีน้ำหนักเบา ระบายอากาศได้ดี ได้รับการออกแบบมาเพื่อการแข่งขัน พร้อมตอบโจทย์ความต้องการของนักกีฬาโดยเฉพาะ และใช้พื้นยางชั้นนอก Continental ที่ปลายเท้า และใช้ยางแผ่นเรียบพร้อมเจาะรูขนาดใหญ่กว่าเดิม มาในดรอป 9 มม. (ความหนาส้นรองเท้า 39 มม. ความหนาปลายรองเท้า 30 มม.) น้ำหนัก 238 กรัม (ไซส์ UK 8.5) เหมาะสำหรับวันแข่งขันตั้งแต่ระยะ 0-42KM และถูกต้องตามกฏสามารถขึ้นโพเดียมรับรางวัลได้ วางจำหน่ายที่ราคา 8,000 บาท บนเว็บไซต์ อาดิดาส ประเทศไทย >> https://invol.co/clkb719

adidas adizero Takumi Sen 9

รองเท้าวิ่งสำหรับวันแข่งขันในระยะสั้นตั้งแต่ระยะ 0-21KM ใช้โฟมระดับท็อปของค่ายอย่าง Lightstrike PRO แบบเต็มความยาวเท้า ดรอป: 6 มม. (ความหนาส้นรองเท้า 33 มม. ความหนาปลายรองเท้า 27 มม.) น้ำหนัก 181 กรัม (ไซซ์ 8.5UK) มอบความนุ่มและการตอบสนองที่ดี ทั้งนี้ยังคงมาพร้อมกับแท่งคาร์บอน ENERGYRODS ที่วางตามตำแหน่งของกระดูกเท้าเพื่อมอบความมั่นคง มีส่งแรงไปข้างหน้าอย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น จำกัดการสูญเสียพลังงานให้น้อยที่สุด ปิดท้ายด้วยพื้นชั้นนอกยาง Continental แบบบางเฉียบที่ด้านข้างเท้าด้านนอก และแบบมีดอกยางที่หน้าเท้า วางจำหน่ายที่ราคา 6,700 บาท บนเว็บไซต์ อาดิดาส ประเทศไทย >> https://invol.co/clk8vzz

adidas adizero adios 8

รองเท้าวิ่งแข่งขันน้ำหนักเบาในระยะสั้นตั้งแต่ระยะ 0-21KM ยังคงความพื้นบางตามสไตล์ racing flat ของรองเท้าวิ่งตระกูล Adios ไว้ โดยมาพร้อมกับพื้นชั้นกลาง Lightstrike Pro ที่บริเวณครึ่งหน้าเท้าเพื่อการตอบสนองและโฟม Lightstrike 2.0 ช่วงครึ่งหลังเท้าเพื่อช่วยเพิ่มความมั่นคงและใช้ ENERGYTORSION ROD 2.0 เพิ่มเป็น 3 แกนที่ฝั่งหน้าเท้าเพื่อเสริมแรงส่งคืนและการตอบสนองที่ดีกว่าเดิม ส่วนอัปเปอร์ผ้าตาข่ายน้ำหนักเบา ระบายอากาศได้ดี และพื้นชั้นนอกยาง Continental ให้การยึดเกาะเหนือชั้นบนท้องถนนทุกรูปแบบ ดรอป 9 มม. (ความหนาส้นรองเท้า 29 มม. ความหนาปลายรองเท้า 20 มม.) น้ำหนัก 216 กรัม (ไซส์ UK 8.5)วางจำหน่ายที่ราคา 5,200 บาท บนเว็บไซต์ อาดิดาส ประเทศไทย >> https://invol.co/clk8w08

รองเท้าวิ่งสำหรับใส่ซ้อม adidas ADIZERO ในปี 2023

adidas adizero Boston 12

รองเท้าวิ่งที่ออกแบบมาสำหรับฝึกซ้อมทำความเร็วตั้งแต่ระยะ 0-42 กิโลเมตร เพื่อเตรียมความพร้อมสำหรับวันแข่งขัน พื้นชั้นกลางยังคงใช้ 2 ชั้นมาตั้งแต่ Boston 10 ชั้นบนเป็น Lightstrike PRO โฟมระดับท็อปของค่ายที่มีความนุ่มและแรงส่งคืนที่ดี ส่วนชั้นล่างเป็น Lightstrike 2.0 โฟมใหม่ที่เพิ่มการรองรับแรงกระแทกและตอบสนองได้ดีขึ้น พร้อมกับ ENERGYRODS 2.0 ที่มีส่วนผสมของ glass-fiber เพื่อเสริมการตอบสนองในขณะวิ่ง ช่วยทำการเคลื่อนตัวไปข้างหน้าลื่นไหลตั้งแต่ส้นเท้าจนไปถึงปลายเท้า อัปเปอร์ผ้าตาข่าย Engineered Mesh ที่โปร่งและบางกว่าเดิม การระบายอากาศดีขึ้น ส่วนพื้นชั้นนอกก็ยังคงใช้ยางคู่ใจ Continental ที่ออกแบบลวดลายให้มีการยึดเกาะที่ดีมากขึ้น ดรอป 7 มม. (ความหนาส้นรองเท้า 38 มม. ความหนาปลายรองเท้า 31 มม.) น้ำหนัก 261 กรัม (ไซส์ UK 8.5) วางจำหน่ายที่ราคา 5,800 บาท บนเว็บไซต์ อาดิดาส ประเทศไทย >> https://invol.co/clk8w12

อ่านรีวิวรองเท้าวิ่ง adidas adizero Boston 12 ได้ที่นี่

adidas adizero SL

รองเท้าวิ่งสำหรับใส่ซ้อมวิ่งได้ในทุกๆ วัน เหมาะสำหรับใส่ซ้อมตั้งแต่ระยะ 0-42 กิโลเมตร ได้มีนำดีไซน์ของ Adizero Takumi Sen9 มาใช้งาน และปรับมาใช้พื้นชั้นกลาง Lightstrike EVA โฟมน้ำหนักเบาแบบเต็มความยาวเท้า พร้อมกับโฟม Lightstrike Pro มาวางใต้หน้าเท้าอยู่ด้านในเพื่อช่วยเพิ่มการตอบสนองสำหรับการวิ่งในทุกๆ วัน อัปเปอร์เป็นหน้าผ้าตาข่าย และพื้นชั้นล่างมาก็ในลวดลายลักษณะเดียวกันกับ ADIZERO BOSTON 11 ที่มีดอกยางแบบใบมีด วางในแนวเฉียงเพื่อการยึดเกาะพื้นผิวที่ดี ดรอป 10 มม. (ความหนาส้นรองเท้า 35 มม. ความหนาปลายรองเท้า 25 มม.) น้ำหนัก 243.25 กรัม (ไซส์ UK 8.5) วางจำหน่ายที่ราคา 4,500 บาท บนเว็บไซต์ อาดิดาส ประเทศไทย >> https://invol.co/clk8w28

อ่านรีวิวรองเท้าวิ่ง adidas adizero SL ได้ที่นี่

ในปี 2023 นี้ ถือว่ารองเท้าวิ่งอาดิดาสนั้นประสบความสำเร็จในแง่ของการแข่งขัน การทำลายสถิติโลก และเกิดมาเพื่อเป็นผู้ชนะ อีกทั้งยังมีการเปิดตัวไฮเปอร์ชูส์ที่เหนือกว่าซุปเปอร์ชูส์อย่าง adidas adizero adios Pro Evo 1 ออกมา และขึ้นโพเดียมได้สำเร็จ เรียกได้ว่าเป็นปีที่ยอดเยี่ยมของอาดิดาสเช่นกัน และในปี 2024 จะเป็นอย่างไร มารอติดตามไปพร้อมๆ กัน

Exit mobile version