รีวิว adidas Adizero RC 2.0 รองเท้าวิ่งสายสปีดน้องเล็กของ Adizero

adidas Adizero RC 2.0 เป็นอีกหนึ่งรองเท้าวิ่งในตระกูล Adizero รุ่นนี้ถือว่าเป็นน้องเล็กสุดของตระกูลเลยก็ว่าได้ ในปี 2020 นี้ อาดิดาส ได้นำโฟม Lightstrike โฟมใหม่ของอาดิดาสที่มีน้ำหนักเบากว่า EVA ถึง 40% มาใช้งาน แน่นอนว่าในรองเท้าวิ่งคู่นี้ก็ได้ใช้งานโฟมใหม่นี้ด้วย โดยจะเป็นแบบเต็มความยาวเท้าและออกมาเพื่อเป็นรองเท้าใส่ซ้อมในวันที่ต้องการทำความเร็ว ไม่ว่าจะเป็น Interval, Tempo หรือ Speed work ต่างๆ และด้วยความที่ไม่มี Boost และพื้นชั้นนอกยาง Continental ส่งผลให้มีราคาที่จับต้องได้มากขึ้น 3,400 บาท และหลังจากที่เราได้ทำการแกะกล่อง พรีวิวตัวรองเท้าไปแล้ว ตอนนี้ก็ถึงแก่เวลาที่จะมารีวิวรองเท้าวิ่งน้องเล็กจากตระกูล Adizero คู่นี้

ถ้าไม่อยากอ่าน ชมคลิปวิดีโอรีวิวกันได้เลย

อัปเปอร์ Celermesh โปร่งสบาย แต่ยังไม่สุด

อย่างที่ได้บอกไปตอนแกะกล่อง พรีวิว ไปแล้วว่ารองเท้าวิ่งคู่นี้ได้ใช้หน้าผ้า Celermesh ที่เป็นผ้าตาข่ายชั้นเดียวแบบ adidas Adizero Adios 5 แต่จะแตกต่างกันตรงที่ลิ้นรองเท้าของ RC 2.0 นั้นหนากว่า ซึ่งตรงจุดนี้ทำให้เวลาสวมใส่แล้วจะรู้สึกอึดอัดกว่า Adios 5 เล็กน้อย เชือกรองเท้ามัดทบเดียวยังพอไหว มีหลุดระหว่างวิ่งบ้าง มัด 2 ทบจะชัวร์ที่สุด

เรื่องความกระชับเท้าและการระบายอากาศ หน้าผ้า Celermesh พร้อมโครงสร้างตาข่ายยังทำได้ดีอยู่ เว้นแต่ตรงส้นเท้าที่ RC 2.0 นั้นใช้ฟองน้ำบางกว่า หากใส่ถุงเท้าบางก็จะรู้สึกถึงอาการเสียดสีตรงเอ็นร้อยหวายได้ ตรงนี้เชื่อว่าขึ้นอยู่กับรูปเท้าของแต่ละคนด้วย บางคนเจอ บางคนอาจจะไม่เจอ

พื้นชั้นกลาง Lightstrike แบบเต็มๆ ให้ความเฟิร์ม น้ำหนักเบา

ในรุ่นระดับสูงๆ ทางอาดิดาสจะใช้โฟม Lightstike คู่กับ Boost เพื่อให้ส่งเสริมซึ่งกันและกัน โดย Lightstrike จะเด่นในเรื่องน้ำหนักเบาและมีความเฟิร์ม ช่วยรองรับแรงกระแทกและมอบความมั่นคงได้ดี ส่วน Boost จะโดดเด่นในเรื่องของคุชชัน การรองรับแรงกระแทก และแรงส่งคืนที่มีมากกว่า

ในรุ่นนี้ที่ใช้ Lightstrike เพียงอย่างเดียว มีดรอป 10 mm (heel 24 mm / forefoot 14 mm) น้ำหนัก 203 กรัม ในไซส์ 9UK ถือว่าเป็นรองเท้าวิ่งที่มีน้ำหนักเบา เหมาะสำหรับสายปีด ขณะวิ่งลงเท้าก็จะให้ความรู้สึกแน่นเฟิร์ม ไม่ยวบ แต่ไม่เด้ง กดลงไปแล้วยกได้ทันที ไม่มีแช่ ด้วยน้ำหนักที่เบาทำให้ไม่เป็นภาระเท้าหมดกังวลเรื่องขาล้าเพราะต้องแบกน้ำหนักรองเท้าไปได้เลย และการที่รองเท้าวิ่งน้ำหนักเบาขึ้นก็ทำให้เราวิ่งเร็วกว่าเดิมด้วย

แต่ด้วยความที่ผู้ใส่เองมีน้ำหนักค่อนข้างเยอะราวๆ 80 กิโลกรัม เวลาใส่วิ่งลงในคอร์ทยังไม่สะท้านมากนัก แต่ถ้าวิ่งตามถนนทั่วไป ถนนในหมู่บ้านจะมีรู้สึกถึงความสะท้านบ้าง เนื่องจากมีพื้นที่บาง เพราะฉะนั้นผู้ใส่จะต้องมีความแข็งแรงของกล้ามเนื้อขามากหน่อย

พื้นชั้นนอก ยึดเกาะดีเยี่ยม

ถึงแม้จะไม่หนึบเท่ากับยาง Continental แต่ Blown Rubber ที่มาในดอกยางแบบลายขวางก็ทำหน้าที่ยึดเกาะได้ดี ตอนเลี้ยวโค้งหรือเปลี่ยนทิศทางก็ไม่มีปัญหา ส่วน Tosion System ตรงกลางเท้าก็มอบความมั่นคงได้ดี แต่เมื่อวิ่งไปเรื่อยๆ Tosion System จะถูกบดขยี้กับพื้นทำให้ลวดลายหายไป แต่ใครที่ลงแต่หน้าเท้าก็จะรอดตรงนี้

adidas Adizero RC 2.0

โดยรวมแล้ว เป็นรองเท้าวิ่งสายสปีดที่ดีคู่นึง ไม่ว่าจะเป็นหน้าผ้า Celermesh ที่ระบายอากาศได้ดี พื้นชั้นกลาง Lighstrike ที่มีน้ำหนักเบา พื้นชั้นนอกที่ยึดเกาะได้ดี ครบองค์ประกอบสำหรับสายทำความเร็ว แต่ถ้าใครที่คาดหวังว่ารองเท้าคู่นี้จะเด้งหรือมีแรงส่งคืนเยอะๆ นั้นผิดถนัดเลย เนื่องจากรองเท้าวิ่งคู่นี้เป็นสายรองเท้าใส่ซ้อม Fast training จึงเน้นการใช้แรงขาของตัวเองมากกว่า และไม่เหมาะสำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มหัดวิ่งเท่าไรนัก เนื่องจากมีซัพพอร์ตที่น้อย ส่วนใครที่ขาแข็งแรงแล้วอยากจะนำรุ่นนี้ไปลงงานแข่งก็คิดว่าไม่มีปัญหา แต่จะใช้แรงตัวเองแบบเต็มๆ มากกว่า ด้วยราคาที่ไม่แพง 3,400 บาท ถือเป็นรองเท้าวิ่งสายสปีดที่น่าสนใจมากๆ คู่นึงเลย

รองเท้าวิ่ง อาดิดาส อาดิซีโร่ อาร์ซี 2.0 วางจำหน่ายแล้วที่ adisas Brand Center Central World, adidas Brand Center Siam Paragon, adidas Sport Performance, Ari Running, Supersports และออนไลน์ adidas.co.th มีให้เลือก 3 สี


อย่าลืมกดไลค์เพจ SNKR TODAY และกด See First ติดดาวไว้จะได้ไม่พลาดในการติดตามข่าวสารรองเท้ารุ่นใหม่ๆ 👟👟👟

ติดตามวิดีโอรีวิวรองเท้ารุ่นต่างๆ ได้ที่ https://www.youtube.com/snkrtoday

Exit mobile version